ปัจจุบันความต้องการในการใช้ “ไม้” มีมากขึ้น ในทางกลับกัน “ไม้” มีไม่พอใช้ จึงเกิดปัญหาตามมาคือ ราคาของไม้ค่อนข้างสูงและมีคุณภาพค่อนข้างไม่ดี เนื่องจากเป็นไม้ใหม่ที่มีอายุไม่มาก หรือนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นไม้ชนิดโตเร็ว ทำให้มีปัญหาหดตัวสูง และไม่ทนต่อสภาพอากาศในบ้านเรา ทำให้มีการผลิตวัสดุเพื่อทดแทนไม้ ซึ่งเรียกกันว่า “ไม้เทียม”
ไม้เทียมหากแยกตามวัสดุที่ใช้ผลิต สามารถแบ่งออกเป็นได้หลักๆ 2 ชนิด คือ
- ไฟเบอร์ซีเมนต์ ผลิตจากการนำไฟเบอร์ธรรมชาติมาผสมกับซีเมนต์ ทำให้เกิดวัสดุที่มีลักษณะคล้ายกับไม้
- Wood Plastic ผลิตขึ้นจากกระบวนการนำผงไม้และเม็ดพลาสติกชนิดต่างๆ มาผ่านขบวนการผลิต ขึ้นรูปโดยการฉีด หรือรีดเป็นรูปร่างตามที่ต้องการ และสามารถใช้งานได้จริง
ข้อดีของไม้เทียม คือ
- ปลวก/แมลงไม่กิน และไม่ลามไฟ
- ทนต่อสภาพอากาศ เช่น แช่น้ำ ทนแดด ฝน ลม และไอทะเล เหมาะกับสภาพอากาศในบ้านเรา
- สามารถเลื่อย ตัด เจาะ ขูดเสี้ยน ได้ง่ายเหมือนไม้ธรรมชาติ
- ราคาใกล้กับไม้จริง
- ไม่ต้องทาสี ผสมสีในตัว
- ไม่อุ้มน้ำ
จากคุณสมบัติดังกล่าว ทำให้ความนิยมในการใช้ไม้เทียมมีมากขึ้น โดยเริ่มจากการนำมาใช้เป็น ไม้ปูพื้น ตงไม้ระแนง รั้ว ฝ้า ผนัง ซึ่งใช้ได้ทั้งเป็นวัสดุหลัก และตบแต่ง ซึ่งปกติผู้ผลิตมักจะมีการระบุหรือกำหนดวิธีการใช้วัสดุดังกล่าว ซึ่งมักจะมีความสามารถในการรับแรงน้อยกว่าไม้จริง ซึ่งมีผู้นำไปใช้เป็นไม้ในส่วนระเบียงบ้าน โดยวางไม้พื้นบนตงที่มีระยะ 0.50 มม. ซึ่งเป็นระยะปกติสำหรับวางพื้นไม้ และระยะตง จะต้องไม่เกิน 35 ซม. เพื่อป้องกันการเลื้อยของไม้ เมื่อโดนความร้อนมากๆ
สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกใช้ไม้เทียมแทนไม้จริง
- ตรวจสอบข้อกำหนดของไม้แต่ละยี่ห้อ, ข้อแนะนำการใช้งานของไม้เทียม โดยเฉพาะความสามารถในการรับน้ำหนัก, ระยะพาดของตง และข้อกำหนดในการติดตั้งควรกำหนดในแบบให้ชัดเจน ตลอดจนกำชับผู้รับเหมาให้เข้าใจตรงกัน
- หากมีความจำเป็นที่ต้องใช้ไม้พื้นดังกล่าวในที่สูง เพื่อป้องกันอันตรายจากปัญหาพื้นหักแตกออกมา ควรเตรียมการเสริมตะแกรงเหล็กด้านล่างพื้น เพื่อป้องกันการตกจากที่สูง
- ไม้เทียมบางชนิด ที่แตกง่าย ไม่ควรนำไม้เทียมมาใช้เป็นราวกันตก หรือราวระเบียง เนื่องจากหากมีการพิงหรือนั่งบนราว อาจจะแตกพังลงมาได้
- หากต้องการใช้ไม้เทียม ควรนำมาใช้ในพื้นที่ระดับไม่สูงจากพื้นมากนัก เช่น พื้นทางเดินรอบบ้าน พื้นศาลาที่มีโครงสร้างพื้นรับอยู่ด้านล่าง